วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ครั้งแรกกับวอดก้า...

            โย่ว! สวัสดี คราวนี้ไม่มีอะไรเลย แค่จะมาบอกเล่าประสบการณ์การกินวอดก้าให้ฟัง เกิดมาเราไม่เคยกินวอดก้าเลยเพราะพ่อไม่กิน เคยลองกินแต่เบียร์กับไวน์แล้วเราไม่ชอบ
             เริ่มเลย! ขอย้อนไปก่อนว่าที่เราได้กินวอดก้าเนี่ย เพราะโฮสพี่จะจัดงานวันเกิดอายุครบ 18 แล้วบังเอิญว่าวันเกิดโฮสพี่ไปอยู่ใกล้ๆกับวันเกิดเพื่อนอีกคน คราวนี้เลยจัดควบ งานเลยใหญ่มากๆ ในงานเลยมีเหล้าให้กิน
              มาวันงานเลยนะ คนในงานจะเป็นเพื่อนของเพื่อนโฮสพี่กับเพื่อนโฮสพี่ แล้วพอดีว่าเพื่อนโฮสสนิทกับเด็กเกรด10ด้วยก็เลยเชิญมา ในงานเราก็ไปอยู่กับพวกที่มาจากเกรดเดียวกันนี่แหละ ก็คุยๆไป ระหว่างคุยเนี่ย แม่ของเพื่อนโฮสจะเดินถือพวกแอลกอฮอล์แจกคนในงาน อารมณ์เหมือนเป็นบ๋อย😗 ตอนแรกก็ถือเบียร์มาแล้วก็ถามกลุ่มเราว่าใครจะเอามั้ย เราไม่ชอบกินเบียร์และเพื่อนเราไม่มีใครหยิบเลย เราเลยบอกไม่เอา คุยๆไปซักพัก คราวนี้เดินแม่เพื่อนโฮสมาพร้อมกับถาดใส่แก้วใบเล็กๆ แบบกระดกอึกเดียวหมด ด้านในมีน้ำสีๆ มีสีแดง สีเขียว สีเหลือง คราวนี้เพื่อนทุกคนหยิบหมด เราก็นึกว่าเป็นน้ำแดงอะไรงี้ก็เลยหยิบบ้าง เราหยิบถ้วยสีแดง แล้วทุกคนก็พูด นึง ส่อง ซั่ม! แล้วก็ดื่มรวดเดียวหมด เราก็ทำบ้าง คราวนี้แหละ รู้เลย มีกลิ่นเชอร์รี่ที่รสชาติเหมือนยาแก้ไอตอนเด็กๆ แล้วมันก็ขมๆ นี่มัน! เหล้าชัดๆ! เราก็เลยถามเพื่อนว่าอันนี้น้ำอะไร มันบอกวอดก้าไงๆ เราก็งง นึกว่าวอดก้าไม่มีสี แต่ช่างมัน กินไปแล้ว5555 คราวนี้คุยๆไปซักพัก มาอีกรอบ555 ทุกคนก็หยิบอีก เราเลยหยิบบ้าง555 คราวนี้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง
           คราวนี้รสชาติเป็นเลม่อน อร่อยกว่าเดิม555 พอแม่เพื่อนโฮสมาอีกรอบเราก็หยิบสีที่ยังไม่ได้กินคือสีเขียว อันนี้รสชาติแปลกๆหน่อย น่าจะแอปเปิ้ลมั้ง สีเขียวเราว่าอร่อยสุดแล้ว หลังจากนั้นเค้าก็เดินมาเสิร์ฟเรื่อยๆ เราก็ดื่มทุกรอบ5555 เราน่าจะดื่มไป 6-7แก้วได้ คราวนี้แหละ ไปห้องน้ำแล้วทำของตก พอจะก้มไปหยิบปั้บ! มึนค่ะ เวียนหัวนิดนึง ก็เริ่มเอะใจและ พอไปส่องกระจกดู หน้าแดงมาก!!! ชัดเลยลูก
เมา!!! เมาค่ะเมา5555  ก็ว่าอยู่ทำไมหน้าร้อนๆ คือบอกเลยว่าตอนดื่มนี่ไม่ได้คิดว่าจะเมาเลยซักนิดเดียว มันกินทีละนิดๆ ก็เลยไม่รู้สึก คราวนี้ออกจากห้องน้ำมา หิวน้ำมาก น่าจะเพราะกินเหล้าไปเยอะ ก็เลยไปขอดื่มน้ำ เพื่อนเห็นว่าเราสั่งน้ำมาดื่มก็เลยถามว่าเป็นไรมั้ย5555 ก็บอกไปว่าสงสัยจะเมา ก็เลยไม่ได้ดื่มอีก คราวนี้ดื่มแต่น้ำ พอผ่านไปซักพัก(ไม่ซักพักแหละ หลายชั่วโมงอยู่) รู้สึกหายเมาแล้ว เพื่อนมันก็หายไปไหนไม่รู้ เราเลยไปนั่งคนเดียวตรงเค้าเตอร์ เรารู้สึกว่าคงไม่ค่อยมีโอกาสได้กินวอดก้าบ่อยเท่าไหร่ และเคยมีผู้หวังดีคนนึงกล่าวไว้ว่ามาแลกเปลี่ยนก็ทำทุกอย่างตามที่คนที่นี่เค้าทำกัน เราเห็นคนอื่นสั่ง     สไปรท์ผสมวอดก้ากันหมด เพราะงั้น!!! เนื่องจากเราสร่างเมาแล้ว เราเลยสั่งมากินบ้าง!!! (ไม่เข็ด 5555) คราวนี้เราอยู่คนเดียวไม่มีใครคุยด้วย เราก็ดื่มไปเรื่อยๆๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไร จิบทีละนิดจนหมดแก้ว จะลุกไปหยิบพวกขนมตรงสแน็กบาร์ หูอื้อ!!! โอ้วมายฟักกิ้งก้อด!! หูอื้อ เวียนหัว ปวดหัว ได้ยินเสียงไม่ชัดแบบเสียงเป็นวิ้งๆอ่ะ คราวนี้แหละ!!! เมาหนักกว่าเดิมอีก!!! ฟัคมาก คือก็ยังดีที่ไม่ถึงขนาดเดินไม่ตรง แต่แบบ เข้าใจป่ะ หัวมันตื้อๆ ได้ยินอะไรไม่ชัด แบบช้อคมากกกกกก วอดก้าไม่ถึงครึ่งแก้วปกติมันขนาดนี้เลยหรอวะ คนอื่นกินกันเยอะแยะไม่เป็นไร สงสัยเพราะเรากินครั้งแรก😫 แบบ คราวนี้นี่เดินไปหยิบขนมปังแล้วเดินออกไปด้านนอกงานเลย เราไม่ต้องการพูดกับใคร555 เดินไปนั่งคนเดียวอยู่ตรงซอกไม่ให้ใครเห็น กลัวเค้าเข้ามาคุยด้วย คือนั่งอยู่ตรงนั้นหลายสิบนาทีเลย เรานั่งจนเราหายหูอื้ออ่ะ ตอนนั้นอากาศน่าจะแค่เลขหลักเดียวเพราะหายใจเป็นควันอ่ะ เราใส่เสื้อยืดกับ Pullover ตัวนึงแต่เราไม่ค่อยหนาวเลยนะ สงสัยเพราะเมาอยู่555 หลังจากนั้น เราต้องการกลับบ้านอย่างด่วนที่สุดเพราะอยากนอนให้หายเมา แต่โฮสพี่สาวเป็นเจ้าภาพก็กลับก่อนไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ เราก็เลยไปนั่งอยู่ที่เดิม ก็รอไปเรื่อยๆ จนโฮสแม่เดินมาถามว่าจะกลับบ้านมั้ยเพราะโฮสพี่ชายจะกลับแล้ว เราเลยรีบเลย สรุปวันนั้นกลับถึงบ้านตี 1 ไม่ก็ตี 2 นี่แหละ และนี่ก็คือประสบการณ์เมาครั้งแรก5555

แถมท้ายนิดนึง พอเราตื่นแล้วเรายังปวดหัวอยู่เลย555

ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย มีแต่รูปจากแสนปแค่นี้แหละ555

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อาหารเยอรมัน!!!!

            วู้ววววววว ในที่สุดก็มาถึงหัวข้อที่(เรา)รอคอย!!! อาหารนั่นเอง!!!!
            ทุกคนคงรู้ว่าอาหารขึ้นชื่อเยอรมันคืออะไรเนอะ ก็มี ไส้กรอก ขาหมู เบียร์ คงจะรู้กันอยู่แค่นี้แหละ แถมบางคนคงคิดว่าจะได้กินบ่อยๆ  แต่ของจริงมันไม่ใช่แบบที่คิด! ถ้าคิดว่าจะได้กินไอ 3 อย่างนั้นทุกวันก็คิดใหม่ซะ

ไล่ตั้งแต่เช้ายันเย็นในวันธรรมดา
เช้า : แล้วแต่วัน ปกติกินซีเรียล บางวันกินขนมปังโฮลวีตแข็งๆ เรียกไม่ถูกใส่พวกแฮม ไม่ก็ทาแยม
        บางทีก็ครัวซอง
เที่ยง : คนปกติก็กินขนมปังเรียก Brötchen แต่เรากินขนมปังโฮลวีตแบบเดิม ใส่แฮมใส่เนย อยากใส่
           อะไรก็ได้ บางวันกินสลัดผัก บางวันกินสปาเก็ตตี้ บางวันเลิกเร็วโฮสก็บอกให้ทำอาหารไทยให้
           กินหน่อย😳
เย็น : ขนมปังอีกแล้วววว😑 แต่เฉพาะโฮสเรานะที่กินขนมปังตอนเย็น เห็นคนอื่นกินพวกซุปอะไรแบบนี้
         ขนมปังตอนเย็นก็จะมีหลายแบบหน่อย เป็น Brötchen ไม่ก็ baguette ไม่ก็ขนมปังโฮลวีต บางทีก็กิน
         ที่เหลือจากตอนเที่ยง
หลังเย็น : โฮสพ่อกับแม่กินเบียร์ เรากับพี่กินโยเกิร์ต

เช้ายันเย็นวันไม่ธรรมดา(วันหยุดเสาร์อาทิตย์นั่นแหละ😑)
เช้า : Brötchen กับ Baguette แล้วก็ไข่ต้มด้วย
เที่ยง : โฮสชอบกินมันฝรั่งใส่ครีมใส่เบคอนใส่ชีส(อ้วนมาก ไม่รู้ทำไมโฮสผ้อมผอม) ไม่ก็ลาซานย่า
หลังเที่ยง : โฮสพ่อกับพี่ชอบกินขนม ก็จะกินเค้ก ไม่ก็ไอติม บางทีโฮสพ่อทำข้าวใส่นม เค้าเรียก  
                   Milchreis อ่ะ รสชาติเหมือนข้าวเหนียวมูน
เย็น : ขนมปังแบบวันธรรมดา ไม่ก็ที่เหลือจากตอนเที่ยง บางทีก็กินพิซซ่า
หลังเย็น : โฮสพ่อกับแม่กินเบียร์ เรากินโยเกิร์ต

จากที่เขียนมานี่ สรุปได้ว่า ไม่มีขาหมู ไส้กรอกกินเวลาเข้าเมือง เบียร์กินทุกวันเลย555 โอเค ถือว่าไม่ได้ทำลายความหวังของคนที่มาที่นี่เพราะเบียร์เนอะ555 (เอาจริงๆ คนเยอรมันบางคนก็ไม่ได้ชอบกินเบียร์นะ แต่พอดีโฮสแม่กับโฮสพ่อชอบมาก)  กิน Brötchen บ่อย กินขนมปังบ่อย ถ้าทำอาหารปกติจะทำอาหารจากมันฝรั่ง

จบแล้วสำหรับอาหารที่กินปกติ คราวนี้มาถึงอาหาร+ขนมที่ต้องลองกินแล้วววววว

ปล.เราไม่ชอบกินชีสนะ
ปล.2 เราชอบกินดาร์คช้อกโกแลตมากๆ ชอบช็อกโกแลตที่รสชาติเข้มๆหน่อย

อย่างแรก! Currywurst!!!! หากินง่ายมากๆ มันคือไส้กรอกราดซอสอะไรซักอย่าง อร้อยอร่อย ปกติกินกับเฟรนฟรายนะ ในภาพคือผิดปกติ555 ราคาปกติ 2.9-4.5 ยูโร


อย่างที่ 2 ! Bratwurst!!!!  มันคือ Currywurst แบบไม่ราดซอสแกงกะหรี่นั่นแหละ กินกับขนมปัง

อย่างที่ 3! Pommes!!!! เฟร้นฟรายนั่นแหละ แต่มันอร่อยอ่ะ ไม่มีภาพเพราะมันคือเฟรนฟรายปกติจริงๆ

อย่างที่ 4! ไอติมเจลาโต้!!!! มาถึงก็รีบๆกินเพราะยังเป็นหน้าร้อนอยู่ ปกติราคา 0.9-1.2 ยูโร


อย่างที่ 5! Lindt!!!! อย่าสงสัยว่าทำไมมาเยอรมันแล้วกินช้อกโกแลต เรารู้แต่ว่ามันอร่อยและที่ไทยหาซื้อไม่ค่อยได้ จากการสำรวจเกือบครบทุกรสพบว่ารส dark chocolate cookie อร่อยสุด555 กรุบๆขมๆหน่อย เราชอบซื้อแบบแท่งยาวๆแบบในภาพอ่ะ มันกินง่ายดี

อย่างที่ 6! Ferrero!!!! ช้อกโกแลตอีกแล้ว555 ไม่ใช่แบบลูกๆนะ อันนั้นที่ไทยก็มี หมายถึง yogurette รสโยเกิร์ตสตรอเบอรี่ กับ Giotto รส hazelnut ไม่ก็ รสดาร์คช้อกโกแลต



อย่างที่ 7! Haribo!!!! มันมีต้นกำเนิดที่เมือง Bonn ของเยอรมัน ใครมาก็ต้องกินทุกคนแหละ 
ในภาพคือโฮสซื้อแพ็คใหญ่มาใส่ปี๊บไว้กินเล่น


อย่างที่ 8! ของในเบเกอรี่ทั้งหลาย ไม่มีอะไรหรอก แค่เราไม่ค่อยเห็นขนมปังกับเค้กแบบนี้ในไทย

Pflaumenkuchen เค้กที่ทำจากผลไม้อะไรก็ไม่รู้ ในภาพคือหาจากกูเกิ้ลเอา


Blackforest cake ต้นกำเนิดก็เยอรมันนี่แหละ


อย่างที่ 9! Chipsfrisch!!!! มันคือเลย์สัญชาติเยอรมัน รส Currywurst อร่อยมากๆ


อย่างที่ 10! เบียร์ประจำเมือง!!!! แหน่ะๆ ต่ำกว่า16ห้ามกินนะจ๊ะ(พูดแล้วเข้าตัว555) คือแต่ละเมืองจะมีเบียร์ของตัวเองเลย อย่างเราอยู่ที่ Köln ก็จะมีเบียร์ชื่อ Kölsch เห็นคนบอกเบียร์แต่ละเมืองรสชาติไม่เหมือนกัน เบียร์เมืองไหนอร่อยคนในเมืองนั้นก็จะภูมิใจมาก


อย่างที่ 11! Quark ball!!!!! มันคืออะไรไม่รู้ Quark มันจะเป็นอะไรซักอย่างคล้ายๆโยเกิร์ตแต่เปรี้ยวกว่า
อันนี้มันเหมือนแป้งผสม Quark (มั้ง) แล้วเอาไปทอด โรยไอซิ่ง เปรี้ยวๆนิดนึง หน้าตาคล้ายๆโดนัท
ขอบคุณรูปประกอบจากกูเกิ้ล


อย่างที่12! Schnitzel !!!!! มันคือหมูชุบแป้งทอดนี่แหละ ไม่มีไร 
ขอบคุณรูปประกอบจากกูเกิ้ล



อย่างที่ 13! Glühwein!!!!!!! มันคือไวน์ร้อน มีขายช่วงคริสมาสในคริสมาสมาร์เกต ไม่ก็เมืองที่หนาวๆจะมีขายตลอด 
รูปจากกูเกิ้ลอีกแล้ว



ส่วนอาหารที่เราไม่ชอบนะ 

Sauerkraut ซุปอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่เกลียดมากๆ จากที่เห็นนะ พวกผู้ใหญ่จะชอบกินกัน แต่เด็กจะเกลียดมาก อย่างโฮสพี่เราทั้งสองคน ญาติโฮส Betreuer เราที่อายุ18 จะไม่ชอบกิน แต่พวกพ่อๆแม่ๆนี่ชอบมาก

Reibekuchen  มันคือมันฝรั่งบดแล้วเอาไปทอด กินกับซอสแอปเปิ้ล ตอนแรกๆก็โอเคนะ แต่กินๆไปเลี่ยนมากๆ
รูปจากกูเกิ้ล



อาหารที่ติดคำว่า Bio มันคืออาหารที่ปลูกแบบธรรมชาติ ไม่ใช้สาร ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เราว่าซื้อแบบธรรมดาอร่อยกว่า 555

โกโก้!!! ติดมาได้แบบไม่น่าเชื่อ!! จริงๆเราชอบกินโกโก้มากเลยนะ แต่โกโก้ที่นี่แบบ รสชาติมันอ่อนอ่ะ มันไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ เวลาเราอยากกินเลยต้องชงเอง (ผงโกโก้ที่นี่ชอบเป็นแบบสำเร็จรูป แบบมีน้ำตาลผสมให้แล้ว เราว่ามันหวานไปเลยต้องเอาผงโกโก้ทำขนมมาชง) ในภาพคือของสตาร์บั๊ค ไม่ได้ถ่ายแบบเปิดฝาอ่ะ อยากรู้สีไปดูแก้วข้างๆ Blackforest cake ด้านบน
















วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เจอโฮสต์ครั้งแรก !!+กิจวัตร

     สวัสดีวันเสาร์ วันนี้เราจะมาพูดในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับดวงเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือเรื่อง โฮสต์แฟมิลี่!!
     ส่วนใหญ่น่าจะมีประสบการณ์การรอโฮสที่ต่างกัน บางคนได้ตั้งแต่ 3 เดือนแรก บางคนได้ก่อนไปไม่กี่อาทิตย์ ก็แล้วแต่ดวงกันไป บางคนได้โฮสดี บางคนได้โฮสแย่ ก็แล้วแต่ดวงอีก ส่วนเรานี่ได้โฮสที่ดี(มาก) 

      ของเรานะ(อันนี้คือประสบการณ์การรอโฮส ไม่ต้องอ่านก็ได้แต่อยากเขียน555) ตอนรอคือตื่นเต้นมากกกกกกก มันคือการรอแบบไม่มีจุดหมายอ่ะ คือไทม์ไลน์เรานะ เหลืออีก 6 เดือน.....เดี๋ยวก็ได้......3เดือนถัดมา....ช้าๆได้พร้าเล่มงาม....เหลืออีก1เดือนกว่า.....เราได้โฮสแล้ว! แต่โฮสมีลูกเป็นเด็กออทิสติกแถมพ่อแม่ไม่ยอมบอกว่าทำงานอะไร YFU เค้าก็ถามว่าโอเครึเปล่า เราเห็นว่ามันดูแปลกๆเลยปฏิเสธไป จากนั้นก็รอออออ รอยาวเลยTT...จนวันประชุม yfu รอบสุดท้ายก่อนไป(เหลืออีก3อาทิตย์)....เฮ้ย ทำไมยังไม่ได้วะ ไหนบอกวีซ่าใช้เวลา 3 อาทิตย์ไง ที่บ้านก็บ่นว่าได้โฮสช้ามาก แถมพี่สาวยังมีการพูดซ้ำเติมว่าคงไม่มีใครอยากรับเด็กแลกเปลี่ยนที่บอกว่าตัวเองขี้อายหรอก (ในเอกสารที่ให้เขียนนิสัยตัวเองกับสาเหตุที่มาแลกเปลี่ยนเราเขียนไปว่าขี้อายกับอยากมั่นใจในตัวเอง) ไอเพื่อนก็ช่วยกันอวยพรจั๊งว่าขอให้ไม่ได้โฮสๆ  เพื่อน yfu ก็มีแต่คนบอกได้โฮสแล้วๆ  คือเครียดมากกกกกก ทั้งโดนตัดกำลังใจ โดนสาปแช่ง โดนบลั๊ฟจากเพื่อนคนนู้นคนนี้ ตอนนั้นคือกลัวไม่ได้ไปสุดๆ บอกเลยว่าเปิดมือถือรอเมลล์ที่YFUจะส่งมาแทบจะทั้งวัน เวลามีเมลล์เข้าทีนี่รีบเปิดอ่าน เปิดดูปั๊บ! จดหมายข่าว YFU ก็เซ็งไป....เมลล์เด้งอีก! ก็เปิดอีก....เพื่อนในเฟสบุ๊คแท็คคุณ....แทบจะลบแอคเค้าเฟสบุ๊คทิ้ง555 ผ่านไปอีก1อาทิตย์ก็ยังไม่ได้ ช่วงนั้นคือจิตตกมาก ต้องรอที่ไทยก่อนหรอ ลาเรียนไปแล้วทำไงดี  บลาๆๆ แต่ในที่สุด! เราได้โฮสก่อนไปอาทิตย์กว่าๆ อื้มหืมมมมมม น้ำตาแทบไหล(เพื่อนที่รรนี่มีแต่คนบอกเสียดาย ไม่น่าได้โฮสเลยจะได้อยู่ไทยต่อไป555) โฮสเราประกอบไปด้วย โฮสแม่ พ่อ พี่สาว(17) แล้วก็พี่ชาย(19) พอรู้ชื่อโฮส รู้อีเมลล์ก็จัดการส่งเมลล์ไปทักทายพร้อมกับขอรูปภาพโฮส(เค้าไม่ได้ให้มากับเอกสาร) ระหว่างรอโฮสตอบกลับก็จัดการเสริชรูปโฮสสิคะรออะไร เฟสบุ๊ค ไอจี มีอะไรบ้างเสริชหมด555 แต่หาไม่เจอเลย สุดท้ายมาเจอรูปโฮสแม่จากการเสิร์ชกูเกิ้ล เป็นรูปโฮสแม่มาช่วยผู้ประสบภัยสึนามิในอินโดนีเซีย ที่เรามั่นใจว่าเป็นโฮสแม่เพราะอายุกับหน้าตาสัมพันธ์กัน55

       ปล. ขอขอบคุณทุกกำลังใจและการซ้ำเติมทั้งหลาย ในที่สุดเราก็มีวันนี้

      สรุปแล้ว ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี โฮสส่งรูปมา ดูเป็นครอบครัวอบอุ่น เราคิดว่าที่ได้โฮสช้าส่วนนึงคงเพราะเราปฏิเสธโฮสคนแรกไปด้วยแหละ ใครที่กลัวจะไม่ได้โฮสก็ใจร่มๆเอาไว้ลูก คนได้ก่อนไปวันเดียวยังมี ที่สำคัญคือได้โฮสดีไม่ใช่ได้โฮสเร็ว (อูววววววววววว คมไปอีกกกกกกกก)

       เข้าเรื่อง(ออกทะเลไปไกลมาก) วันแรกที่เจอโฮสเนี่ยเป็นวันเสาร์ โฮสเค้ามารับเราที่บ้านโฮส 3 อาทิตย์(ในขณะที่เพื่อนคนอื่นต้องนั่งรถไฟไป) โฮสที่มาก็มี โฮสพ่อ แม่ พี่ชาย ส่วนพี่สาวไปติวเตรียมเข้ามหาลัยก็เลยมาไม่ได้ พอมาถึงบ้านปุ้บ เราก็เอาของไปเก็บในห้อง พอลงมาโฮสแม่ก็อธิบายวันเวลาว่าใครอยู่บ้านตอนไหน ไปทำงานกี่โมง เวลาไหนโฮสอาบน้ำ งานอดิเรก แล้วก็อธิบายกฎนู่นนี่นั่น เรามีเรื่องที่ติดใจมากว่าทำไมได้โฮสช้า(เก็บกด) เราก็เลยลองพูดๆไปหน่อยว่า เนี่ย เรากลัวไม่ได้โฮสมากเลยรู้มั้ย ขอบคุณมากที่รับเรา แล้วโฮสแม่ก็บอกว่าเค้าเลือกรับเราตั้งนานแล้ว แต่พอดีทำเอกสารช้า yfu เลยบอกช้า ที่เค้าเลือกเราเนี่ยเป็นเพราะเราเขียนว่าสาเหตุที่มาแลกเปลี่ยนเพราะอยากมั่นใจในตัวเองและที่กรอกเอกสารไปว่าชอบทำอะไรไม่ชอบอะไร โฮสบอกว่าเราเขียนเหมือนโฮสพี่สาวตอนจะไปแลกเปลี่ยนเด๊ะๆเลย เค้าเลยเลือกรับเรา! (อยากอัดคลิปให้พี่ดูมากๆ ตอนแรกพี่นี่บ่นใหญ่เรื่องโฮส) ตอนเย็นโฮสก็พาไปดูทางไปโรงเรียนก่อน แล้วก็กลับบ้าน กินข้าวเย็น นอน เรากะจะให้ของฝากตอนวันแรก แต่ก็ที่บอกไปว่าโฮสพี่สาวไม่อยู่ เราเลยไม่ได้ให้ กะจะให้ทีเดียวตอนอยู่กันครบ

        วันต่อมา ตอนเช้าก็ตื่นมาตอน7โมงกว่าๆ ปรากฏว่าไม่มีใครตื่นเลย...เราก็ลงมานั่งเล่นตรงห้องรับแขก เสร็จแล้วโฮสพ่อกับโฮสแม่ถึงค่อยลงมา ก็กินข้าวเช้า เสร็จแล้วโฮสพ่อก็จะไปรับโฮสพี่สาวที่อีกเมือง เราก็นั่งรถไปด้วย ระหว่างทางโฮสก็อธิบายว่าอันนี้เป็นถนนใหญ่ ห้ามขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ที่นี่นะ แล้วก็ชี้พวกปราสาทที่อยู่บนภูเขาระหว่างทางให้ดู คือบรรยากาศมันดีมากกกกกกกกก โฮสเปิดกระจกรถให้ลมพัดเข้ามา ลมก็เย็นๆสบายๆ รถก็ไม่ติด บ้านเมืองก็สวย ตรงนี้บ้านคน อีกฝั่งเป็นภูเขา คือเรานี่แบบ 'ขออยู่นี่จนแก่เลยได้ป่าว' คือชีวิตเค้าดูชิลมากอ่ะ เปรียบเทียบบ้านเรากับที่นี่แล้วอิจฉาสุดๆ อยากเกิดใหม่เป็นคนเยอรมัน(เวอร์ไป แต่ถ้าทำได้ก็ทำ555) ก็ได้แต่อิจฉาไป....นั่งๆอิจฉาอยู่พักนึงก็ไปถึงที่ติวโฮสพี่ เราก็นั่งรอแป้บนึงก็เห็นโฮสพี่เดินลงมา เห็นตอนแรกคืองงเลยว่าทำไมรูปไม่ค่อยเหมือนตัวจริง ตัวจริงนี่ผอมกว่าในรูป คือในรูปจะดูปกติ แต่ตัวจริงคือผอมอ่ะ ไม่ได้ผอมขนาดนั้นแต่ผอมกว่าที่คิดไว้พอสมควรเลย ก็ทักทายกันไม่ได้มีไรมาก พอกลับบ้าน โฮสพี่บอกการบ้านเยอะมากกกกกก ต้องรีบทำ เราก็คิดว่าคงทำซักชมหรือ2ชม แต่! 30นาทีต่อมา นางเดินลงมาจากห้อง บอกว่าเสร็จแล้ว...อ่ะ...ก็ต้องเข้าใจแหละว่ามาตรฐานจำนวนการบ้านมันต่างกันTT พอโฮสพี่ลงมาด้านล่างปั้บ เค้าเปิดวิทยุฟังเพลงแล้วก็ทำบราวนี่ ทำๆไปซักพัก....อยู่ๆนางก็เต้น! งงเลย อยู่ๆก็แบบ โยกตัวซ้ายขวา มือ เท้า ทุกอย่างไปหมด555 โยกตัว สะบัดหัวนิดหน่อย ตลกดี555 (เพลงที่เปิดบ่อยๆชื่อ wir sind groß) ระหว่างเต้นนี่ก็มีมาคนๆบราวนี่นิดหน่อย สรุปแล้วก็ทำบราวนี่จนเสร็จนะ พอมาตอนกินข้าว เราจะให้ของขวัญโฮส โฮสพี่ชายไม่อยู่ WTF... ก็ไม่ได้ให้อีก กินเสร็จโฮสพี่ก็ชวนเล่นเกมกระดาน เล่นกัน3คนกับโฮสพี่โฮสพ่อ โฮสแม่ไม่ชอบเล่นก็นั่งกินเบียร์ดูเราเล่นไป โฮสพ่อก็กินด้วย เล่นเสร็จ โฮสพ่อแพ้...โฮสพี่ก็บอกว่าเวลากินเบียร์โฮสพ่อไม่เคยเล่นชนะเลย555 โฮสพ่อก็บ่นๆว่าไม่ได้กินแบบมีแอลกอฮอล์ซักหน่อย โฮสพี่ก็บอกว่ายังไงก็แพ้อยู่ดี พอจะขึ้นห้องไปนอนโฮสพี่ก็บอกว่าพรุ่งนี้เราต้องไปรรพร้อมกัน แล้วโฮสพ่อบอกเราอาจไปสายหน่อยเพราะโฮสพี่ชอบตื่นสาย555 โฮสพี่ก็ไม่ได้พูดอะไร(เพราะเถียงไม่ออก555) เสร็จแล้วก็ขึ้นห้องไปนอน


       วันธรรมดา : ตารางเรียนเรากับโฮสพี่ไม่ค่อยเหมือนกันเลยไม่ค่อยได้ไปรรด้วยกัน ตื่นเช้ามาก็แปรงฟัน ล้างหน้าลงมากินข้าวก็เจอโฮสพ่อโฮสแม่ โฮสพี่สาวจะกินข้าวช้ากว่าเราหน่อย โฮสพี่ชายนี่ไม่เคยเจอก่อน9โมง...พักกลางวันก็กลับมากินข้าวบ้าน ประหยัดดี ตอนกินข้าวกลางวันก็จะเจอโฮสพี่สาวกับพี่ชาย บางทีจะมีเพื่อนโฮสพี่มากินข้าวด้วย ส่วนโฮสพ่อกับโฮสแม่ก็ทำงานอยู่ พอเลิกเรียนเสร็จ กลับบ้านมาก็ทำการบ้าน ถ้าทำไม่ได้ก็ถามโฮส แล้วก็กินข้าวเย็นด้วยกัน บางวันโฮสแม่จะไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยเพราะต้องไปทำงาน กินเสร็จโฮสพี่สาวกับพ่อก็จะเล่นเกมกระดานกัน ขอบอกเลยว่ามีเยอะมากกกกกกกกก มีตั้งไว้เป็นตู้เลย โฮสพี่ชายกับโฮสแม่ไม่ชอบเล่นก็จะกลับขึ้นห้องไม่ก็นั่งดูเราเล่น เล่นเสร็จแล้วก็ขึ้นนอน 

      เสาร์อาทิตย์ : ตื่นมาก็เจอโฮสพ่อกับโฮสแม่ โฮสพี่ตื่นสายมากกกกกกก ไม่ค่อยเจอตอนกินข้าวเช้าเลย กินเสร็จแล้วโฮสก็เอาหนังสือพิมพ์มาแล้วก็บอกให้เราอ่านจะได้ฝึกภาษา คำไหนไม่รู้ก็ถามโฮส หลังจากนั้นโฮสก็จะไปซื้อของ บางทีก็นั่งรถไปเมืองอื่นเล่นๆ ไม่กินข้าวเที่ยง กินเค้กช่วงสายๆแทน พอวันอาทิตย์ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเพราะร้านค้าปิดหมด แต่บางครั้งโฮสแม่ไปร้องคอรัสที่โบสถ์แถวบ้าน เราก็ตามไปฟังด้วย เสาร์อาทิตย์เป็นช่วงพักผ่อนของคนเยอรมันอ่ะ ไม่ค่อยทำงาน นานๆจะมีงานเสาร์อาทิตย์ที ไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ เป็นวันชิลๆ

 ข้อคิด : 1.ตอนกรอกเอกสาร เขียนอะไรที่เป็นตัวเราจริงๆ! ย้ำ!ต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้โฮส  
                 ควรกลัวว่าจะได้โฮสที่เข้ากับเราไม่ได้มากกว่าอีก  
              2.มาถึงก็ถามเรื่องกฎในบ้านเลย ถามเวลาใช้ห้องน้ำด้วยก็ดี 
              3.โฮสทำอะไรเราก็ทำตาม อย่างของเราต้องปิดฝาชักโครกหลังใช้ 
              4. โฮสชวนทำอะไรก็ทำไปเถอะถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย
              5. แต่ถ้าไม่อยากทำก็บอกไปเลย






     2 อันนี้คือเกมที่ชอบเล่นกัน


แถวบ้านเราเอง



อันนี้ถ่ายตอนไปเดินเขากับโฮสแม่ 


สวยล่ะสิ!!!!! แถวบ้านอีกเหมือนกัน 5555 วิวสวยมีชัยไปกว่าครึ่ง ขนาดใช้กล้องมือถือถ่ายก็ยังสวย


 ถ่ายจากรถไฟ


สัญลักษณ์เมืองเราเอง!!!! ต้นสนในภาพคือเตรียมงานคริสมาสอยู่ เค้าเตรียมงานคริสมาสมาร์เก็ตกันเป็นเดือนเลย

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สอบ!!! Klausur

          สวัสดีทุกคน! ขอโทษที่หายไปนาน(มากๆ) ยอมรับเลยว่าไม่ได้ไม่ว่าง ว่างทุกวันแต่แค่ขี้เกียจเฉยๆ(รักนะจุ้ฟๆ😘)  ที่วันนี้มาเขียนเนี่ย เพราะรู้สึกอยากระบายและอิจฉาในความโชคดีของเด็กเยอรมันมากๆ เรื่องที่เราอิจฉานั่นก็คือออออออ!!!!! สอบใหญ่!!!!!
          แน้ะๆๆรู้นะว่าคิดอะไรอยู่ คงจะงงกันอยู่ใช่ป่าวววว ที่เราบอกว่าโชคดีไม่ได้หมายถึงเนื้อหาง่ายหรืออะไรนะ (อย่างที่เคยเขียนไปว่าวิชาเยอรมันเราทำไม่ได้เลย😑) แต่ที่โชคดีเนี่ย เพราะเด็กที่นี่เค้าจะเลือกวิชาที่จะสอบได้!!!!! ตอนรู้นี่แบบ ว้อทเดอะ!! ทำไมชีวิตคนเยอรมันมันชิลขนาดนี้ วันๆไม่ต้องเรียนพิเศษ การบ้านก็ไม่มี แล้วทำไมคนจบมาบริหารประเทศมันมีความรู้เยอะจัง (ไม่ได้พาดพิงประเทศบ้านเกิดนะ) คือแบบ เราพึ่งมารู้หลังสอบฟิสิกส์เสร็จว่ามันเลือกได้ว่าจะสอบวิชานี้มั้ย (รู้เพราะถามเด็กแมกซิโกว่าทำไมไม่สอบฟิสิกส์หรอ) แต่ก็โชคดีไปที่วิชาที่สอบเป็นวิชาที่ชอบอยู่แล้ว
     
          อย่างที่บอกไปว่าที่โรงเรียนเราเลือกวิชาเรียนเองได้ โดยโรงเรียนบังคับให้เลือกวิชาวิทยาศาสตร์ 2 วิชา (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ) สังคม 2 วิชา (ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภูมิศาสตร์) ศาสนา 1 วิชา (คริสต์คาทอลิก คริสต์โปรแตสแตนท์ ปรัชญา) ภาษาต่างประเทศ 1 ภาษา (สเปน ละติน ฝรั่งเศส) ศิลปะ 1 วิชา (ดนตรี ศิลปะ) แล้วก็บังคับลงเลข พละ เยอรมัน อังกฤษ วิธีให้เกรดที่นี่เนี่ย มันจะมี 2แบบ แบบแรกคือทั้งหมด 100% เป็นคะแนนการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ตอบคำถามครูบ่อยๆ แสดงความคิดเห็นบ่อยๆ แค่นี้แหละ ได้ 100เต็ม พูดเหมือนง่ายแต่จริงๆยากมาก เพราะทุกคนเค้าก็รู้กันว่าถ้าตอบคำถามบ่อยจะได้คะแนนดี เพราะงั้นเลยมีแต่คนแย่งตอบคำถาม แบบสองคือ 50% การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 50% คะแนนสอบ เราจะพูดถึงแบบสองนี่แหละ

          50% คะแนนสอบเนี่ย เป็นแค่เฉพาะบางวิชานะ ก็คือโรงเรียนบังคับว่าทุกคนต้องสอบเลข อังกฤษ เยอรมัน แล้วก็อีก 3 วิชาคือ วิชาในหมวดสังคมที่เราเรียน 1 วิชา วิชาในหมวดวิทย์ 1 วิชา วิชาในหมวดภาษา 1 วิชา แล้วไอวิชาที่เรามีสอบเนี่ยแหละถึงจะเป็นวิชาที่คิดคะแนนแบบ 50-50 เพราะงั้น บางคนเรียนด้วยกัน แต่ไม่เห็นว่าไม่มาสอบก็ไม่ต้องงง แปลว่าเค้าเลือกสอบวิชาอื่นแทน โดยปกติแล้ว วิชาที่คนเค้าสอบกันจะเป็นวิชาที่ถนัด (คะแนนสอบมันได้ยากกว่าคะแนนพูด) ส่วนวันสอบเนี่ย ก็เป็นวันเรียนปกติเลย ไม่มีการหยุดสอบใหญ่แบบไทย แต่ก็ไม่ได้สอบหลายวิชาในวันเดียวเหมือนกัน เท่าที่เห็นจะไม่มีวันสอบซ้ำกันซักวัน แต่เห็นมีเวลาตรงกัน ถ้าเราเลือกสอบวิชาที่เวลาตรงกันก็ซวยไปเพราะว่าเราต้องไปตามสอบทีหลัง แล้วส่วนใหญ่จะเปลี่ยนข้อสอบเป็นข้อสอบที่ยากกว่าเดิม
           วิชาที่เราเลือกสอบเนี่ย ก็มีที่บอกไปว่าบังคับทุกคนคือ เลข เยอรมัน อังกฤษ ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์นี่เราเลือกสอบฟิสิกส์ สังคมเราเลือกภูมิศาสตร์ ภาษาต่างประเทศเราไม่ได้สอบเพราะไม่ได้ลง (พอดีไม่เคยเรียนภาษาพวกนี้เลย แล้วถ้าจะเรียนมันต้องมีพื้นฐานก่อน โรงเรียนเลยบอกไม่ต้องลงก็ได้)

ประสบการณ์การสอบ
เยอรมัน : อย่างที่เคยพิมพ์ไป เหมือนไปนั่งให้ปวดตูดเล่น ครูไม่เอาข้อสอบมาคืนด้วยซ้ำ555
อังกฤษ : วิชานี้ก็โอเค อ่านเข้าใจ แต่เขียนไม่ค่อยออกเพราะเค้าบอกให้วิเคราะห์บทความ แต่เราไม่ค่อย
               เข้าใจว่าวิเคราะห์ยังไง ได้เกรด 3
เลข : สบ้ายสบาย พาราโบลา เรียนตั้งแต่ม. 3 จะยากก็ตอนแปลโจทย์นี่แหละ ทำได้ 90% ตอนทำนี่
         มั่นใจมากว่าอย่างแย่สุดก็เกรด 3 ออกมา.....เกรด 4 !!!!!!!!! แบบ ห้ะ!!!!!!!! ตรวจผิดป่ะครู ทำไม
         คะแนนห่วยขนาดนี้ อีกเกรดคือสอบตกแล้วนะเฮ้ย เปิดดูข้อสอบที่แก้ก็แบบ ใครมันจะไปรู้วะว่า
         ห้ามเขียนแบบนี้ แบบ วันหลังเขียนติดหน้ากระดาษว่าห้ามทำอะไรบ้างเลยมั้ยครู (ติดตามต่อได้ใน
         รูปด้านล่าง)                
ฟิสิกส์ : พอๆกับเลขนั่นแหละ แต่ยากกว่าตรงแปลโจทย์ เวลาในการทำ 70% หมดไปกับการนั่งเปิดหา
             ศัพท์ในดิคชันนารี ยังไม่ได้ข้อสอบคืนเลยยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง
ภูมิศาสตร์ : พีคมาก!! พีคจริงอะไรจริง!!!!! ครูให้เอาข้อสอบกลับมาทำที่บ้าน!!!!!!!!!!! คือนี่มันสอบ
                   ใหญ่นะเห้ย!!!!!! แบบ รักครูคนนี้มาก ครูบอกว่าแปลไม่ออกใช่มั้ย งั้นเอากลับไปทำที่บ้าน
                   ละกัน พูดพร้อมกับเอาแผนที่โลกกับข้อสอบมาให้ คือไม่กลัวเราจะโกงข้อสอบหน่อยหรอห้ะ
                   แถมครูบอกมาด้วยว่าเขียนเป็นอังกฤษก็ได้ แบบ อยากจะเข้าไปกราบครู ไม่เคยเจอครูคน
                   ไหนดีขนาดนี้มาก่อน เอาไปบอกโฮสพี่ โฮสพี่  บอกครูคนนี้นิสัยดีอยู่แล้ว  ยังไม่ได้ข้อสอบ
                   คืนเลยยังไม่รู้ผล                

และนั่นก็คือการสอบข้อเขียนทั้งหมดของเรา ส่วนคะแนนการมีส่วนร่วมหรอ ฟังไม่ออกจะไปพูดอะไรได้คะ นั่งเป็นใบ้ทั้งคาบยกเว้นคาบอังกฤษ อังกฤษเราได้เกรด 3- วิชาอื่นยังไม่บอก ส่วนภูมิศาสตร์!!!! รักครูอีกแล้ว ครูบอกว่าเรากับอันนาเด็กแมกซิโก(เรียนด้วยกัน) คงฟังไม่ออกใช่มั้ย(ใช่เลยค่ะครู) เพราะงั้น ครูเลยจะให้พรีเซนต์ภูมิศาสตร์ของเมืองตัวเอง (ของเราก็คือกรุงเทพ อันนาคือแมกซิโกซิตี้) หน้าห้อง เป็นคะแนนการมีส่วนร่วม!!!!!! อยากให้ครูทุกคนเป็นแบบนี้ ครูที่ดีมากๆที่เราเจอที่นี่ก็มีครูคนนี้แหละ ครูอังกฤษ แล้วก็ครูศิลปะ
         
           นั่นแหละ คืออิจฉาอ่ะ เข้าใจป่ะ ไม่ต้องมานั่งท่องวิชาที่ไม่ถนัด ไม่ได้อัดสอบรวดเดียวจบ สอบตามที่เรียน ไม่ออกข้อสอบเกิน ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องแข่งกันทำคะแนน การศึกษามีคุณภาพ เด็กจบมาไม่ต้องเข้ามหาลัยก็ทำงานได้เพราะตอนเรียน เรียนเน้นวิชาที่จะใช้จริง อีกกี่ปีประเทศเราจะทำได้อย่างเค้าบ้างเนอะ (งดดราม่า แค่พูดตามที่เห็น)

           สุดท้ายแล้ว (ตรงนี้ไม่ได้มีอะไรสำคัญเลย) ขอแฉคะแนนสอบอันนาหน่อยเหอะ555 เนื่องจากเป็นเด็กแลกเปลี่ยนเหมือนกันอ่ะนะ แต่วิชาที่อันนาสอบไม่ได้เหมือนเราหมดนะ และเรารู้คะแนนแค่บางวิชา

เยอรมัน : สอบได้ 3- !!!!!!!ไอเพื่อนทรยศ!!!!!!!!!! คือมันได้คะแนนมากกว่าคนเยอรมันด้วยกันเองอีก!!!
อังกฤษ : ได้ 3+
เลข : ได้เกรด 6........สงสารอันนามากๆ คือแถบอเมริกาเรียนเลขกันง่ายไง เกิดมาเค้ายังไม่เคยเรียน
         พาราโบลาเลย เพราะงั้นเค้าเลยไม่เข้าใจเวลาครูสอน (แต่เห็นเด็กไทยบางคนมาที่นี่ก็เรียนเลข        
         ไม่เข้าใจนะ คงเพราะอยู่สายศิลป์ด้วยแหละ)
สเปน : คงไม่ต้องบอกแหละเนอะ แมกซิโกใช้ภาษาทางการเป็นภาษาสเปน ดังนั้น........เกรด 1+ ลอยมา
           ตั้งแต่ลงเรียนแล้ว5555 มันคงเก่งกว่าครูที่สอนด้วยซ้ำเพราะครูเป็นคนเยอรมัน555 คงต้องสลับ
           คนสอนแล้วมั้ง


อันนี้ข้อสอบเลขที่บ่นไป ในรูปเป็นของเพื่อนเพราะลืมถ่ายของตัวเองไว้ ไอตรงข้อ 5 อ่ะ ตัวแปร f(x)
เราดันไปเขียนตัวแปร y นั่นแหละ โดนหักคะแนนเกือบทุกข้อ


อีกอันที่โมโหมากๆ(ไม่มีรูป) คือกราฟพาราโบลา เราเขียนกราฟแบบไทย มีหัวลูกศร
ตรงแกน x แกน y กับตรงพาราโบลาที่มันเป็นปลายกราฟ 2 เส้น แค่นั้นแหละ หัก 3 คะแนน
จาก 5 คะแนน !!!!! คือถ้าครูไม่หักพวกนี้นี่เราได้เกรด 3 แล้วอ่ะ เซ็งมากๆๆๆๆ












วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ณ โรงเรียนเยอรมัน (อาทิตย์แรก)

     Hallo! ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนในเยอรมัน ตอนที่เราเขียนบทความนี้เนี่ย เป็นช่วงวันอาทิตย์หลังจากสัปดาห์แรกที่โรงเรียน อารมณ์ช่วงนี้คือไม่อยากไปโรงเรียนมาก บอกเลยว่าเรียนไม่รู้เรื่อง เพื่อนก็ไม่ค่อยมี การบ้านก็ทำไม่ได้😫 คือเซ็งสุดๆ
      สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับโรงเรียน :
     -ที่นี่เค้าไม่ได้เรียกทุกคนว่าเพื่อนนะ จะเรียกเฉพาะคนที่ค่อนข้างสนิท เพื่อนร่วมห้องจะเป็นอีกคำเลย
      คือ Mitschüler เค้าค่อนข้างซีเรียสเรื่องเพื่อน เพื่อนสนิทก็เห็นมีแค่คนเดียวหรือ2คน และเพื่อนสนิท
      คือสนิทจริงๆ แบบ ไปเที่ยวเมืองอื่นด้วยกัน ไปนอนค้างที่บ้านเพื่อน
     -ตรงทางเข้าโรงเรียนจะมีกระดาษแปะไว้ มันคือกระดาษที่เอาไว้บอกว่าวันนี้ครูคนไหนไม่สอนบ้าง
     -คนส่วนใหญ่พูดอังกฤษได้แต่ไม่คล่อง แม้แต่ครูเองก็ด้วย
   
     วันแรก : ตื่นเต้นมากกกกกกกกก กลัวไม่มีเพื่อนสุดๆ น้ำตาจะไหล เราเดินออกจากบ้านมากับโฮสพี่สาวที่เรียนม6 รรนี้ เดิน10นาทีถึงรร โฮสพี่สาวเราก็ไปติดต่ออารมณ์แบบห้องพักครูแล้วก็ถามว่าครูที่ทำเรื่องให้เราย้ายเข้าอยู่ไหน ต้องไปคุยเรื่องวิชาที่เราจะเรียน ครูคนอื่นก็บอกว่าต้องไปถามอีกห้องก็เดินไป.... ไปถึง ถามแบบเดิม ได้คำตอบแบบเดิมก็เดินไปอีก.....สรุปทำแบบนี้อยู่ประมาณ3รอบ พี่สาวเราก็บ่นว่าอะไรวะเนี่ย ทำไมโบ้ยไปนู่นไปนี่ตลอด และสุดท้ายก็ได้คำตอบจากครูที่สนิทกับครูคนนี้ว่า....คาบแรกครูเค้าไม่มีสอนเลยมาช้า เรานี่แบบ อ่าวเฮ้ย! ครูไม่คิดจะบอกครูคนอื่น แถมไม่สนใจนักเรียนแลกเปลี่ยนหน่อยหรอห้ะ งั้นจะตื่นเช้ามาทำไมเนี่ย! สรุปก็นั่งรอไปถึงคาบ2(พี่สาวเราคาบแรกไม่มีเรียน เป็นคาบว่าง) นั่งรอจนหายตื่นเต้นเลย555 พอครูมาปั้บ เค้าก็จัดการอธิบายว่าเวลาเรียนกี่โมง พักกี่โมง แล้วก็บอกว่า2วันแรกเราจะมีตารางเรียนเดียวกันกับเด็กที่เคยมาอยู่ไทยก่อน!!! พอวันพุธค่อยเลือกวิชาเอง ตอนครูบอกเด็กที่เคยมาเรียนที่ไทย เรานี่แบบ ตู้หูวววววววว โชคดีสุดๆ และมันยังไม่หมด! ครูบอกมีเด็กแลกเปลี่ยนอีกคนมาจากแมกซิโกด้วย! เรานี่ยิ้มเลย มีเพื่อนเป็นเด็กแลกเปลี่ยนแน่ๆ555 จากนั้นก็ปริ้นตารางเรียนแล้วพี่สาวก็เดินไปส่งที่ห้องเพื่อเรียนเลข ระหว่างเดินนี่ตื่นเต้นมากๆๆๆ และแล้ววววววววว เราก็มาถึงหน้าห้อง!!!!! บิดลูกบิดประตูห้องจะเข้าไปเรียนปั้บ! ถั่มถ่าดาาาาาา ห้องล็อกค่ะ.....คาบแรกครูป่วย ครูไม่มาสอน เรานี่คิดในหัวว่าทำไมครูชอบหยุดกันจังวะ จังหวะนั้นคือหายตื่นเต้นแล้ว แถมเบื่อด้วย จากนั้น โฮสพี่เราก็เลยพาไปเรียนที่ห้องเดียวกับเค้า เราก็ไปนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำไร พอหมดคาบปุ้บ! ลองใหม่อีกรอบ555 โฮสพี่เราพาเดินไปห้องที่เราจะเรียนคาบต่อไป แล้วเราก็เจอกับลูกครึ่งไทยซะที  เค้ารออยู่หน้าห้องเรียน แล้วครูที่ดูแลเรื่องเด็กแลกเปลี่ยนก็มาคุยกับลูกครึ่งว่าเดี๋ยวเราจะเรียนเหมือนเค้าใน2วันนี้นะ คุยเสร็จเราก็เข้าไปเรียนเลย และเราค้นพบว่า....คาบนี้เราเรียนสเปน...WTF....คือเยอรมันยังไม่รู้เรื่องเลย นี่แอดวานซ์ถึงขั้นมาเรียนสเปนเลยหรอวะ5555 คาบนี้เราก็นั่งโง่ๆข้างๆเด็กไทย ไม่ได้ทำบ้าอะไรเลย ฟังสเปนไม่รู้เรื่อง แต่นั่งๆไปเท่านั้นแหละ..."คุณพูดเยอรมันได้มั้ย?"  เฮ้ย! หัวใจจะวาย รู้ว่ามาเรียนที่ไทยแต่ไม่รู้ว่าพูดไทยได้  เราก็ตอบไปว่าได้นิดหน่อย(ตอบเป็นภาษาไทย) แล้วก็คุยๆกันอีก(เป็นภาษาไทย) สรุปว่าเค้าชื่อเซรีน่า เค้าเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน  เคยเรียนโรงเรียนเยอรมันในไทย   ระหว่างที่คุยๆอยู่นี่ที่ฮามากๆคือไอเพื่อนแถวนั้นมันหันมามองแบบตกใจมากแล้วถามเซรีน่าว่าพูดภาษาไทยได้หรอ คือเพื่อนมันรู้แค่เป็นลูกครึ่งแต่ไม่รู้ว่าพูดไทยได้(นี่เพื่อนสนิทเซรีน่านะเออ) แถมหน้าเพื่อนมันดูอเมซิ่งมากๆ555 เซรีน่าก็ตอบไปว่าได้นิดหน่อย แล้วเพื่อนก็ขอให้เขียนชื่อเพื่อนเป็นภาษาไทยให้หน่อย แต่เซรีน่าเขียนไม่เป็น! เขียนเป็นแต่ชื่อตัวเอง... เราเลยเขียนให้แทน เขียนให้เสร็จปั้บ! เพื่อนบอกว่าภาษาไทยตัวอักษรมันเท่มากเลย แล้วก็ภูมิใจกับชื่อตัวเองในภาษาไทยมาก555 มีเพื่อนอีกคนเห็นก็เลยขอให้เราเขียนให้บ้าง จังหวะนั้นคือรู้สึกว่าตัวเองเป็นเซเลปสุดๆ มีแต่คนยื่นกระดาษมาให้เขียนชื่อ555(ถึงจะไม่ได้เขียนชื่อตัวเองก็เหอะ) หมดคาบปุ้บ เซรีน่าก็พาเราออกไปเดินด้านนอกเพราะเป็นช่วงเวลาพัก เราก็ถามๆว่ารู้จักเด็กแลกเปลี่ยนอีกคนมั้ย? เซรีน่าตอบว่า...มีเด็กแลกเปลี่ยนอีกคนด้วยหรอ? คือเรานี่งงเลย อยู่ม.เดียวกันแต่ไม่รู้เนี่ยนะ เรานึกว่าครูจำผิด สรุปแล้ววันแรกก็ไม่มีอะไร เดินตามเซรีน่าทั้งวัน เข้าไปนั่งโชว์ตัวว่าเป็นเด็กแลกเปลี่ยนแล้วก็กลับบ้าน เรียนอะไรยังไม่รู้เลย555
   
         วันที่สอง: เจอเด็กแมกซิโกในคาบเยอรมัน นางชื่อแอนนาแต่นางมากับโครงการอื่นที่ไม่ใช่ YFU นะ และประเด็นก็คือ นางพูดเยอรมันปร๋อมาก... คือแอนนาเรียนในโรงเรียนเยอรมันในแมกซิโกก็เลยพูดคล่องสุดๆ เพื่อนคนเยอรมันนางก็มีเยอะมากด้วย บางคนก็อยากเป็นเพื่อนกับเด็กแลกเปลี่ยน แต่เค้าพูดอังกฤษไม่ค่อยได้และอายเวลาคุยอังกฤษ พอเด็กแม็กซิโกนี่มาถึงแล้วพูดเยอรมันได้ก็เลยมีแต่คนชอบ (กลับมามองตัวเองแล้วน้ำตาไหล) เวลาเราคุยกับแอนนาจะคุยเป็นอังกฤษเพราะเค้ารู้ว่าเราพูดไม่ค่อยได้ ก็ถามๆแอนนาว่าแอนนาเรียนอะไรบ้าง ไม่มีอะไรมาก

      วันที่สาม: วันนี้เราต้องลุยคนเดียวแล้ว!!! เราเลือกวิชาเรียนไป11วิชา (ปกติเค้าจะเลือกกัน12วิชา) 1วิชาจะมี2คาบต่ออาทิตย์ คาบละ60นาทีไม่ก็75นาที บางวันครูไม่ว่างก็ไม่มาสอน แต่จะมีป้ายประกาศบอกล่วงหน้า1วันตรงทางเข้ารร วิชาที่เราเลือกมี Deutsch , DVT(เป็นภาษาเยอรมันสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่ง) , English , Art , Math , Physics , Chemie , Philosophy , Geography , Sozial Wissenschaft (คิดยังไงลงวิชานี้วะเนี่ยTT) แล้วก็ sport    คาบแรกมาถึง!!!!!  Sozial Wissenschaftค่ะ อืมมมมมมมม ร้องไห้แปบ มันคือวิชาว่าด้วยสังคมศาสตร์ทั้งหลายแหล่ ตั้งแต่การปฏิบัติของคนต่อเพศที่แตกต่างกันยัน
กฎหมาย คือที่ลงวิชานี้ไม่ใช่เพราะอะไรนะ แต่ไม่ไหวกับประวิติศาสตร์จริงๆ (มันบังคับให้ลงสังคม 3 วิชา เราลงปรัชญากับภูมิศาสตร์ไปแล้ว เหลือให้เลือกคือประวัติศาสตร์หรือสังคมศาสตร์)เราก็เดินไปหน้าห้อง และปรากฎว่า เซรีน่าเรียนด้วย! เราก็เลยเดินเข้าห้องไปกับเซรีน่า ตอนแรกกะจะนั่งข้างๆเซรีน่าแล้วนะ แต่ที่มันเต็ม เราเลยไปนั่งคนเดียวแทน😢 (ที่นี่นั่งคนเดียวเป็นเรื่องปกตินะ) และแล้ว 60นาทีก็เสียไปโดยเปล่าประโยชน์555 ไม่รู้เรื่องเลย เรียนเสร็จก็ดูตาราง และแล้ววววววววว คาบต่อไปคืออออ เลขค่ะ เฮฮฮฮฮฮฮ! รอเวลานี้มานานมากเพราะเรามั่นใจว่าเลขเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก(ยกเว้นเด็กเอเชีย) เราเดินไปที่ห้องเลขด้วยความมั่นใจว่าจะกลายเป็นเทพแน่นอน จับลูกบิดเตรียมตัวเปิดประตูมาทักทายครู พอบิดประตูเท่านั้นแหละ...... ห้องล็อก... ครูไม่สบาย เดจาวูอย่างโหดร้าย เออให้ตายเหอะว่ะ โง่เองที่ไม่ได้ดูตารางว่าครูคนไหนไม่สอน เราก็เลยออกไปเดินเล่นนอกรร. แล้วก็กลับมาอีกรอบมาเรียนเคมี เดินมาหน้าห้องแล้วตกใจมาก ไม่เจอใครหน้าคุ้นเลย...ทำไงดีเนี่ย พอเข้าห้องไปไม่รู้จะนั่งไหนดีเพราะมันเป็นโต๊ะทำการทดลองอ่ะ แบบที่อยู่กันโต๊ะละ3คน4คน พวกที่สนิทกันก็นั่งโต๊ะเดียวกัน เรานี่ไม่รู้จักใครเลย รู้สึกเหมือนโดนปล่อยเกาะ แต่สุดท้ายเราก็เห็นผู้หญิงคนนึงกวักมือเรียกเราให้ไปนั่งด้วย เราแทบจะเข้าไปกราบเลย นางชื่อซาร่า เพื่อนในกลุ่มนางมีผชคนนึง ผญอีกคน ผชชื่อเลียม ผญชื่อเซรีน่า(อีกแล้ว) วิชานี้คือเคมี แต่มันไม่เหมือนไทยนะเออ  ตอนแรกนึกว่าจะน่าเบื่อ ตอนเลือกนี่เตรียมใจมาเขียนสูตรท่องตารางธาตุ ที่ไหนได้ เค้าทดลองกัน! การทดลองวันนี้คือทดลองหาวิธีสกัดน้ำหอมกลิ่นส้ม เหมือนเค้าจะให้ทดลองทั้งวิธีที่ถูกและวิธีที่ผิดนะ วันนี้ทดลองแบบผิดๆไปก่อนคือเอาเปลือกส้มไปใส่น้ำแล้วต้ม (จุดไฟด้วยท่อส่งแก๊ส! ไม่ใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ แต่ละโต๊ะมีท่อแก๊สของตัวเองเลย)แล้วดูว่าจะได้น้ำหอมมั้ย ระหว่างทำก็ถามพวกซาร่าว่าเคมีเรียนอะไรกัน ลงวิชาอะไรไปบ้าง ทั้ง3คนนี้พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ก็เลยสื่อสารกันค่อนข้างงง แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก แค่พูดอธิบายเพิ่มนิดหน่อย+ภาษามือก็รู้เรื่อง สรุปแล้ววิชานี้แนะนำสุดๆ ต่างจากไทยลิบลับ ที่เราฮามากๆในคาบนี้คือไม่มีใครเคยเห็นเราไงและก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน รู้แค่เป้นเด้กแลกเปลี่ยน เค้าเห็นเราเป็นคนเอเชียผมดำตาดำ ระหว่างนั่งๆดูคนอื่นเค้าทดลองกันมันก็มีเพื่อนผู้ชายคนนึงเอากระดาษโฆษณาซักอย่างมาให้อ่าน เปิดดูปั๊บ!... มันเป็นภาษาจีน....ไม่คิดจะถามหน่อยหรอว่าเรามาจากประเทศอะไร555

วันที่สี่กับห้า :ที่เด็ดสุดคือพละเลย เรียนวิ่งกระโดดข้ามรั้ว อื้มหืม ช่วยดูส่วนสูงเราหน่อยได้มั้ย คือส่วนสูงผู้หญิงไทยกับที่นี่มันต่างกันไง ที่ไทยเราถือว่าปกติ ที่นี่คือเตี้ยTT ขาเรายังสูงไม่ถึงรั้วเลยมั้ง555 ตอนแรกเค้าจะให้วิ่งปกติก่อน แล้วก็ให้วิ่งยกขาสูงกับวิ่งแบบเหยียดขาไม่ใช้เข่าวิ่ง สุดท้ายคือกระโดดข้ามรั้ว! งานงอกอันสุดท้ายเนี่ยแหละ มีรั้ว5อัน คนอื่นเค้ากระโดดข้ามหมดไม่ก็ล้มอันเดียว พอตาเรานี่...ข้ามอยู่2อัน อันอื่นล้มหมด555 วินาทีนั้นนี่อยากไปกระโดดตึกชั้น2ให้ขาหักจะได้ไม่ต้องเรียน แบบ ฟัคยูวววววว อ้ากกกกก อายโว้ยยยยยยยยย บอกตรงๆว่าไม่อยากมาโรงเรียนเพราะวิชานี้เลย555 วิชาต่อมาาาาา ภาษาเยอรมัน นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ไม่อยากมาโรงเรียน55 (เหตุผลเริ่มเยอะ) เรียนไม่รู้เรื่องเลย ครูมีงานให้ทำก็ทำไม่ได้ รู้สึกผิดต่อเพื่อนที่นั่งข้างๆมากที่ต้องมานั่งแปลให้เรา ไอเพื่อนก็ดูจะรำคาญๆเวลาแปลเพราะเค้าก็ต้องทำงานของตัวเอง น้ำตาจะไหล ลายมือครูนี่ดีพอๆกับหมอเขียนใบสั่งยา แถมมีการบ้านด้วย เลยต้องให้โฮสช่วย

ข้อแนะนำ
1. ก่อนมานี่ก็ฝึกภาษาเยอรมันให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนที่นี่ไม่ได้เย็นชาทุกคนแบบที่เคยได้ยินมา
    หรอก บางคนก็เฟรนลี่ดี เค้าแค่ไม่กล้าคุยกับเราเพราะเราพูดเยอรมันไม่เก่ง
3. บางทีจะไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าคุยกับเราเลยนะ เราเลยต้องไปชวนคุยก่อน คุยๆไปเค้าก็เฟรนลี่นะ แค่
    ไม่อยากเข้าหาเราก่อนเท่านั้นเอง
4. ทำการบ้านไม่ได้! ไปขอให้โฮสช่วยซะ ตอนแรกเราจะแปลเอง สรุปหมดไปครึ่งวันแบบไม่ได้อะไรเลย
5. เรียนไม่รู้เรื่อง! ช่างมันเหอะ กลับบ้านไปให้โฮสช่วยแปลที่เรียนวันนี้ไป
6. ถ้าไม่สนิทก็อย่าเพิ่งไปขอ ig หรือ snap หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันมีความเป็นส่วนตัว คนที่นี่เค้าถือ
7. เอาดิค ไทย-เยอรมันมาด้วย เค้าไม่ให้ใช้มือถือ (เราไม่ได้เอามาชีวิตเหมือนคนพิการ)
 


2 ภาพนี้คือโรงเรียนเราเอง

นี่คือการบ้านเยอรมันที่ไปขอให้โฮสช่วย

อันนี้คือตารางที่บอกว่าครูคนไหนไม่สอนบ้าง (รีบถ่ายมากกลัวโดนยึดมือถือ)

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ไว้อาลัยแด่ในหลวง


13 ตุลาคม 2559


 " ท่านจะอยู่ในใจตลอดไป "

ไม่เคยคิดเลย ว่าหนึ่งปีที่มาแลกเปลี่ยน ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงตลอดไป



วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

โรงเรียนในเยอรมัน

Guten Tag! วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องโรงเรียนในเยอรมัน มีตั้งแต่ระบบการเรียน ต้องเตรียมอะไรไปโรงเรียนบ้าง การบ้านเป็นยังไง บลาๆๆ

อย่างแรกเลย ระบบการเรียนการสอน ขอบอกเลยว่าเราจำไม่ได้เพราะมันซับซ้อนจริงๆ มันมีอนุบาลไปประถม ประถมไปมัธยมแล้วตอนมัธยมจะแบ่งย่อยๆไปอีกมากมายหลายอย่าง แล้วพอเข้ามหาลัยก็จะแบ่งอีกที เพราะงั้นเราเลยเอารูปมาแปะ แล้วเขียนอธิบายนิดหน่อยเผื่อใครงง












อันนี้คือแผนผังของระบบการศึกษาเยอรมัน ตัวเลขด้านล่างเป็นอายุ ด้านบนเป็นเกรด
ช่องเขียว : เป็นชั้นอนุบาล เรียนก็ได้ไม่เรียนก็ได้ ไม่มีอะไรมาก
ช่องส้ม : เป็นชั้นประถม เรียนถึงเกรด 5 หรือก็คือป.5 ไม่มีอะไรมากเหมือนกัน
ช่องฟ้า :  Gesamtschule เป็นโรงเรียนที่ดีเป็นอันดับ2 การเรียนการสอนจะเหมือนเอาทุกประเภทมารวม
               กัน เด็กที่นี่จะเลือกเปลี่ยนประเภทโรงเรียนได้ถ้าไม่ชอบ              
               Gymnasium เป็นประเภทที่ดีที่สุด อารมณ์เหมือนมัธยมทั่วๆไปนี่แหละ มีถึงเกรด12 บางรรก็13
               Realschule เน้นฝึกภาคปฏิบัติ
               Hauptschule เน้นฝึกปฏิบัติเหมือน Realschule เลย แต่เกรดโรงเรียนจะแย่กว่า Realschule
*หมายเหตุ โฮสแม่เราบอกว่าคนจาก Hauptschule กับ Realschule จะย้ายมา Gymnasium ก็ได้แต่ต้อง
                    เรียนที่โรงเรียนเดิมให้จบก่อนแล้วค่อยย้ายมา พอย้ายแล้วจะเรียนเกรด 10 พูดง่ายๆคือ
                    เรียนซ้ำรอบ 2 แต่เรียนยากกว่าเดิม เพื่อนเราคนนึงก็ย้ายมาจาก Gesamtschule
ช่องม่วง : อันบนสุด เป็นมหาวิทยาลัย คนที่จะเรียนได้ต้องมาจาก Gymnasium หรือ Gesamtschule
                เท่านั้น เวลาจะยื่นเข้าเค้าจะใช้เกรด Abitur  มันเป็นการสอบที่มาตรฐานเท่ากันทั้งประเรทศ
                แต่ละคนเลือกวิชาที่จะสอบ 4 วิชา มหาลัยจะดูเกรดอันนี้กับเกรดที่รรคู่กันไป ประเภทมหาลัย
                ก็จะมีแบ่งย่อยๆอีก
                อันที่เหลือ เป็นสายอาชีพ เราไม่ค่อยเข้าใจตัวนี้เหมือนกันว่าแต่ละอันต่างกันยังไง      
ปล. บางครั้งครูที่เป็นคนสอนตอนประถมจะเป็นคนแนะนำให้นักเรียนว่าควรเรียนโรงเรียนประเภทไหน
       ก็มีทั้งดูจากเกรดไม่ก็ดูนิสัยเอา
ปล.2 อันนี้ฟังโฮสอธิบายมา บางอันอาจจะฟังผิดก็ได้

ของที่ต้องเตรียมไปรร 1. ดิกชันนารี ไทย-เยอรมัน ไม่ก็ อังกฤษ-เยอรมัน!! ตอนแรกเรากะจะใช้มือถือเอา
                                       แต่รรที่นี่ห้ามใช้มือถือ! ชีวิตเรารันทดมากเพราะไม่ได้เอามา เรียนไม่รู้เรื่องเลย
                                    2. แฟ้ม เอาแฟ้มแบบมีรูอ่ะ เรียกไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าซื้อแบบนี้มาก็ใช้วิชาละอัน
                                        บางคนเห็นใช้คล้ายๆแฟ้มตราช้างอันใหญ่ๆ ใส่รวมทุกวิชาเลย
                                    3. สมุดจดแบบฉีกกระดาษออกได้ เอาแบบที่เป็นเส้นกราฟกับที่เว้นบรรทัดปกติ                          
                                    4. วิชาพละบางรรจะเรียนในโรงยิม รรเราเค้าบังคับให้ใช้รองเท้าพื้นเหลือง เรา
                                        ไม่มีและไม่อยากซื้อใหม่เลยยืมโฮสเอา
                                    5. เราเรียนวิชาศิลปะเลยต้องใช้สีไม้ แต่ไม่ได้เอามาจากไทย(เอาไรมาบ้างวะ
                                        เนี่ย) เราเลยต้องซื้อใหม่และมันหายากมาก(เราถึงขั้นต้องนั่งรถไฟเข้าเมือง55)
                                       ราคาแพงมาก 24 สี 720บาท สีไม้ระบายน้ำ Faber castell เอามาจากไทยเหอะ
                                    6. เครื่องเขียนบางอย่าง คุณภาพเราว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ราคานี่ต่างกัน2เท่า
                                        ยางลบงี้ ก้อนละ60บาท ไส้ดินสอ70บาท แต่บางอย่างถูกกว่าไทยก็มี
                                    7. คนที่นี่เค้าใช้ปากกาหมึกซึมlamy ถ้าอยากซื้อบ้างมาซื้อที่นี่เลย เพราะ lamy
                                        เป็นของเยอรมัน
                                    8. เอาเครื่องคิดเลขแบบคิดเป็นสมการได้มาด้วย

การบ้าน : ที่นี่จะไม่ค่อยมีการบ้านเท่าไหร่ คนปกติเค้าใช้เวลาทำกันครึ่งชม แต่เนื่องจากเราไม่เข้าใจ
               ภาษาอันแสนจะซับซ้อนของที่นี่ เราเลยใช้เวลาไปประมาณ1-2ชม!!ที่เราทำก็มีอังกฤษกับ
               เยอรมันเสริม ที่จริงการบ้านเยอรมันเสริมเราก็ทำไม่ได้แหละแต่ครูเค้าดุจริงและไม่ยอม
               เราเลยต้องเอาไปให้โฮสช่วยดู พอโฮสดูเท่านั้นแหละ....โฮสบอกการบ้านแบบนี้เอาไปให้โฮส
               พี่สาวช่วยไม่ได้นะ โฮสพี่ไม่เข้าใจแน่ๆ (กรรม คนเยอรมันเองยังไม่เข้าใจเลย555) การบ้าน
               ปกติก็จะเป็น ไปอ่านบทความนี้มาแล้วสรุป วิเคราะห์สาเหตุ ข้อดี ข้อเสีย แสดงความคิดเห็น
               คาบถัดมาก็จะมาแชร์ความคิดกับเพื่อน ขอบอกเลยว่าถึงเป็นภาษาไทยยังแทบจะทำไม่ได้555
               เราไม่รู้โรงเรียนอื่นเป็นงี้รึเปล่านะ แต่ของเราเป็นงี้

การเรียนการสอน : สำหรับโรงเรียนเรานะ เดินเรียนจ้าาาาา เราเลือกวิชาที่จะเรียนเองได้ เพราะงั้น
                               แต่ละคนก็มีวิชาเรียนไม่เหมือนกัน ถึงเลือกวิชาเดียวกับเพื่อนก็ใช่ว่าจะได้เรียน
                               ด้วยกันนะเพราะมีครูหลายคน เพราะงั้นเลยเปลี่ยนเพื่อนทุกคาบ😢 แต่เห็นบางรร
                               ล้อกวิชาเรียนมาให้แล้วนะ อันนี้ก็หาเพื่อนง่ายหน่อย หนังสือเรียนก็ยืมของรรเอา
                               เวลาเรียนในห้องครูจะชอบถามคำถามแล้วเด็กจะแย่งกันตอบ เค้าไม่กลัวตอบผิด
                               ขอให้ได้ตอบก็พอ(เป็นไงล่ะ ตรงข้ามกับไทย) เพราะมันมีคะแนนในห้อง50คะแนน
                               คนที่ตอบบ่อยก็จะได้เกรดดีไป แล้วก็จะมีช่วงสอบใหญ่ ทุกวิชาจะสอบใกล้ๆกัน แต่
                               ครูเค้าจะพยายามให้วันไม่ซ้ำกัน คือเค้าถามเด็กนักเรียนว่าอยากสอบวันไหนและ
                               วันนี้มีสอบวิชาอื่นมั้ย(ต้องตกลงกันดีๆเพราะตารางเรียนไม่เหมือนกัน) เกรดก็จะรวม
                               คะแนนตอบคำถามในห้อง คะแนนสอบย่อย สอบใหญ่ การบ้าน ที่นี่มีเกรด1 ถึง
                               เกรด6 เกรด1คือดีสุด เกรด5กับ6 คือสอบตก ต้องสอบซ่อม ถ้าซ่อมแล้ว
                               ยังตกอีกก็ไม่มีสอบแก้แล้ว ถ้าได้เกรด5หรือ6 อย่างน้อย2วิชาต้องซ้ำชั้น

สอบ : ที่นี่จะเป็นสอบข้อเขียน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสอบการวิเคราะห์บทความ สรุป แสดงความคิดเห็น
          คือสอบเหมือนการบ้านที่ทำนี่แหละแค่เปลี่ยนบทความที่อ่าน เวลาสอบต้องใช้สมุดอีกแบบนึง
          เปิดสมุดมาแล้วพับครึ่งกระดาษ(ครึ่งแบบแบ่ง ซ้าย ขวา) ตอนเขียนก็เขียนแค่ฝั่งเดียว อีกฝั่งครูจะ
          เอาไว้ตรวจให้คะแนนและเขียนคอมเม้น
   
ประสบการณ์การสอบเล็กๆน้อยๆ :
         นี่เป็นหนึ่งในการสอบที่ห่วยแตกที่สุดในชีวิต นั่นคือ! สอบภาษาเยอรมัน! (แค่ได้ยินชื่อก็หนาว        
         แล้ว) บอกเลยว่า ทำไม่ได้555 ก็อย่างที่บอกไปว่าที่นี่ข้อเขียนล้วนจ้า สอบเขียนแสดงความคิดเห็น      
         และวิเคราะห์บทความที่ให้ แหม่ ภาษาเยอรมันเราก็ดี้ดีเนาะ อ่านบทความที่ให้มายังไม่รู้เรื่อง      
         เลยครู นั่นไงประเด็น อ่านไม่รู้เรื่องแล้วจะไปวิเคราะห์ได้ไงวะเห้ย  เราเห็นคนอื่นเขียนกันเป็น      
         หน้าๆ พอมาดูตัวเองแล้ว....กระดาษว่างเปล่า555 แต่จะให้ส่งกระดาษเปล่าก็ยังไงอยู่ ดังนั้น!        
         เราจึงจัดให้ 2 บรรทัดเป็นภาษาไทย555 (บอกเลยว่าขำตัวเองมากๆ)
         บรรทัดแรก : "อ่านไม่รู้เรื่องค่ะ ขอบคุณค่ะ"
         บรรทัดสอง : "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"
         *เราเคยเห็น"เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"ในเน็ตและอยากลองทำมานานแล้ว555
         บอกเลยว่าอินดี้มาก555 เป็นอะไรที่พีคมาก ไปเล่าให้เซรีน่าฟัง(ลูกครึ่งไทย)มันขำใหญ่ เพราะงั้น
         ใครอยากทำอะไรบ้าๆ เขียนด่าครู แต่งกลอนส่งไป นี่แหละโอกาสที่มีเฉพาะสำหรับเด็กแลกเปลี่ยน
         เขียนบ้าไรไปก็ได้ ไม่มีใครอ่านออก555

จบๆ ปญอ.มาพอแล้ว มาดูรูปๆ

รองเท้าพื้นคล้ายๆหยั่งงี้


แฟ้มแบบมีที่ใส่รูอ่ะ แบบด้านซ้ายแฟ้ม

อันนี้เป็นกระดาษแบบฉีกข้าง


เครื่องคิดเลขแบบนี้

                             
             
               

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรียนภาษา 3 อาทิตย์


         เรียนภาษา  3 อาทิตย์เนี่ย ทาง YFU เป็นคนจัดให้ โดยตอนไปเข้าค่าย YFU จะมีข้อสอบเยอรมันมาให้ทำ แล้วเค้าก็จะดูคะแนน แล้วเอาเด็กที่ระดับใกล้ๆกันมาเรียนที่เดียวกัน เด็กกลุ่มอื่นก็อยู่คนละเมืองเลย  ในช่วง 3 อาทิตย์เนี่ยไม่ได้ไปเจอคนจากกกลุ่มอื่นเลยนะ แล้วรู้สึกว่าที่เรียนภาษาจะเอาแค่เด็กจากประเทศเดียวกันมาเรียนด้วยกัน ยกเว้นอเมริกาใต้กับยุโรปที่จะเรียนรวม เพราะงั้นเราจะไม่รู้จักเด็กแลกเปลี่ยนจากประเทศอื่นเลย

            ช่วงเรียนภาษานี่เรียกได้ว่าเป็นนาทีทองสำหรับคนที่ภาษายังไม่ค่อยดีแบบเราเลยแหละ  ช่วงนี้เราก็จะได้โฮสที่จะมาดูแลเราใน3อาทิตย์แรก เราว่าเค้าจะปฏิบัติกับเราอารมณ์เหมือนเราเป็นแขกมากกว่า เค้าก็จะคอยสอนนู่นนี่เกี่ยวกับเยอรมัน แบบ คำง่ายๆ อาหารการกิน เรื่องโรงเรียน โฮสเราจะมีโฮสแม่ โฮสพ่อ พี่ชาย แล้วก็พี่สาว ส่วนใหญ่เราจะอยู่กับโฮสแม่นะ โฮสแม่นี่เค้าพูดอังกฤษพอได้แต่ไม่คล่องเท่าไหร่ อารมณ์เหมือนเรียนมานานจนลืมหมดแล้วอ่ะ เวลาเราคุยนี่ช่วงแรกๆจะคุยอังกฤษนานๆทีจะพูดเยอรมัน แต่หลังๆตั้งแต่วันที่ 3หรือ4เนี่ยแหละ เราจะพูดเยอรมันเป็นประโยคง่ายๆ พูดไม่ได้ก็รูปประโยคเป็นอังกฤษ แต่พวกคำจะใช้เยอรมันเอา แต่ละวันส่วนมากเราจะคุยเรื่องอาหารเที่ยงที่ YFU จัดให้ ซึ่งปกติเนี่ยรสชาติมันดีกว่าอาหารโรงเรียนแค่นิดเดียว (เคยมีรอบนึงกินเนื้อสีแดงๆ นุ่มๆ ตอนแรกก็นึกว่าเค้าปรุงแบบ medium แต่ปรากฎว่า!!! ไปดูตรงรูปสุดท้ายนะจ๊ะ) คุยเรื่องเรียนว่าเรียนอะไร อันนี้ก่อนกลับบ้านเราเปิดดูว่าจดอะไรบ้างเพราะรู้ว่าโฮสต้องถามแน่ๆ ที่เมืองไทยเป็นยังไง โฮสของเราแทบจะไม่รู้เรื่องประเทศไทยเลย! ย้ำว่าแทบจะไม่รู้เลย คือที่เค้ารู้เกี่ยวกับไทยนะ อยู่ในเอเชีย สึนามิที่ภูเก็ต แล้วก็ทักษิณ เค้าเคยมาอวดเราด้วยว่าเคยกินอาหารไทย พอเราขอดูรูปนะ......เค้าเอารูปเกี๊ยวซ่ามาให้เราดู 555 
           
            โอเคเข้าเรื่อง วันธรรมดาเราก็จะไปเรียนภาษากับเพื่อน YFU คนไทย (ตอนแรกเรานึกว่าเรียนกับเพื่อนต่างชาติด้วย) ตอนเรียนก็เรียนเรื่องแกรมม่าบ้าง ท่องศัพท์บ้าง บางทีก็ฝึกเขียน แล้วเค้าจะถามว่าอยากเรียนเรื่องอะไร เค้าก็จะสอนอันที่เราอยากรู้นั่นแหละ ภาษานี่จะเรียนกับครูเยอรมัน คือช่วงนี้เราพัฒนาภาษาได้เยอะจริงๆ ฟังรู้เรื่องกว่าตอนมาเยอะมากกกกกกกๆๆๆ แต่พูดนี่ไม่ค่อยได้เท่าไหร่(ได้เท่านี้ก็บุญแล้วววววว😅)ยิ่งเราฝึกพูดเท่าไหร่จะยิ่งพูดคล่องขึ้นเท่านั้น แล้วก็จะมีเรียนกับครูคนไทยด้วย! ที่ครูไทยสอนส่วนใหญ่ก็คือชีวิตในเยอรมัน การปรับตัวกับโฮส เทศกาลที่ควรรู้ เรื่องพื้นฐานต่างๆ บลาๆๆ  บางทีก็มีออกไปทำกิจกรรมด้านนอก ตอนเย็นนี่บางครั้งเพื่อนจะชวนไปเดินเล่นในเมืองเพราะช่วงที่เราไปถึงจะเป็นช่วงเซลกระหน่ำพอดีเพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนฤดู ถ้าจะไปก็ต้องบอกโฮสก่อน นัดกันให้ดีว่าจะกลับก่อนกี่โมง ที่นี่เค้าซีเรียสเรื่องเวลามากนะ เวลาจะเดินทางนี่ใช้แอพนี้เลย DB navigator บอกได้หมดตั้งแต่เวลารถบัสมา ชานชาลารถไฟ รถไฟมาเลทยังบอกได้เลย (สำหรับคนที่มีปัญหาว่าโหลดแล้วใช้ไม่ได้แบบเรา ลองดูปีที่เราเลือกนะ ต้องเปลี่ยนปีเป็น ค.ศ. ไม่ใช่ พ.ศ. ไม่งั้นมันจะขึ้นว่าวัน เวลา ไม่มีอยู่ในระบบ วิธีเปลี่ยนก็ไปดูในเน็ตเอาละกัน) เสาร์อาทิตย์ปกติเราจะอยู่บ้านนะ แต่โฮสพี่ชายกับพี่สาวนี่ยุ่งมากกกกกกก ออกไปด้านนอกตลอด โฮสพี่ชายชอบออกไปหาเพื่อน ไปนัดปิ้งบาร์บีคิวกัน ไปว่ายน้ำ นู่นนี่นั่น แถมช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเรา เด็กแลกเปลี่ยนที่เคยอยู่บ้านนี้ปีที่แล้วจะมาเรียนต่อมหาลัยที่นี่ แล้วพอดี้พอดีว่าเค้าเป็นแฟนกับโฮสพี่ชายเรา!!(ตกใจอ่ะดิ) โฮสพี่ชายก็เลยขับรถไปส่งที่นู่นที่นี่ พาไปเที่ยวบ้างอะไรบ้าง ไม่ได้อยู่บ้านเลย ส่วนพี่สาวนี่ทำงานเพื่อสังคม เช่นไปเล่นกับเด็ก ไปประชุมเกี่ยวกับโบสถ์  ส่วนเราก็นั่งคุยเล่นกับโฮสแม่โฮสพ่อไป บางครั้งโฮสก็พาไปเที่ยวด้านนอก ของเรานี่เคยจะไป köln รอบนึง แต่ปรากฏว่าพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก! โฮสก็เลยบอกไม่ไปแล้วกัน (แต่ในความเป็นจริงที่เคิล์นแดดออกเปรี้ยงปร้างTT) อาทิตย์ถัดมาโฮสก็เลยพาไปเที่ยวทะเลสาบ ก็ไปล่องเรือแล้วโฮสก็ว่ายน้ำนิดหน่อย ตอนเย็นก็มีปิ้งบาร์บีคิวข้างๆทะเลสาบนั่นแหละ เป็นอะไรที่เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะได้ทำเลย55  ช่วงนี้นี่ชีวิตดี๊ดีมีความสุขมากกกกกกกกกก นอนไม่ค่อยดึก ตื่นก็สาย การบ้านก็น้อย โรงเรียนก็ไม่ต้องไป อยู่กับเพื่อนคนไทยกับครูไทยอีก บอกเลยสวรรค์! ตอนวันสุดท้ายของช่วงเรียนภาษานี่ร้องไห้ด้วย คือคิดถึงครูไทยมากๆ ครูเค้าชอบพาไปเที่ยวบ่อยๆ แถมกังวลกับเรื่องโรงเรียนบ้างเรื่องโฮสใหม่บ้าง แต่นั่นแหละ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา สรุปแล้ว กลุ่มเรียนภาษาก็ต้องแยกย้ายกันไป(แถมแต่ละคนนี่อยู่กันไกลเวอร์) ชีวิตช่วงนี้สนุกมากก็จริง แต่อย่าได้หวังว่าชีวิตจะดีแบบนี้ไปตลอดการมาแลกเปลี่ยนนาจา พอหลังจากเรียนภาษา3อาทิตย์เสร็จปั้บบบบบบบบบบบบบ!!!!! (ซาวด์มา..............!!!!!!!!!!)

              นี่แหละชีวิตเด็กแลกเปลี่ยนของจริง!!!!!วู้ฮู้้้้้้้้

ข้อแนะนำเล็กน้อย : 
เรื่องการฟัง!!! อันนี้บอกเลย (ตรงนี้สำคัญมาก!!!!) เวลาเรามาใหม่ๆเนี่ย ส่วนใหญ่ที่ฟังรู้เรื่องก็เพราะจับคำศัพท์ที่ได้ยินเป็นคำๆ !!!!!เพราะงั้น!!!!! ใครที่จะมาแลกเปลี่ยนก็ท่องศัพท์ไว้ซะ แกรมม่านี่ช่างมันก่อน เอาให้ฟังรู้เรื่องพอเพราะเดี๋ยวมานี่เวลาเค้าคุยกันแกรมม่งแกรมม่าอะไรเราลืมหมดแน่นอน เค้ารัวกันเร็วอย่างกับ eminem แร้พ555 (อันนี้ก็เวอร์ไป) อันที่จริงก็เรียนแกรมม่ามาด้วยแหละ เพราะถึงรู้ศัพท์เยอะแต่เรียงประโยคไม่ถูกเค้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

อันนี้คือโบสถ์ที่เราเรียนภาษา เราเรียนในห้องข้างๆโบสถ์ 
 อันนี้คือแม่น้ำไรน์ที่โคโลน ถ่ายตอนไปเลี้ยงส่งกลุ่มเรียนภาษา 
นี่คือข้าวเที่ยงงงงงงงง รสชาติคละๆกันไป อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง


ข้าวเที่ยงที่เขียนบอกไปด้านบนว่านุ่มๆแดงๆ จะเห็นว่ากินไปแล้วครึ่งนึง พอพลิกด้านเนื้อปุ้บ

เอ้าซูมมมมมมมม!! มันคือลิ้นวัวนี่เองงงงงงง!!!!!!! ฟัคคคคคคค!!! แทบอ้วกที่กินไป

คือตอนแรกไม่รู้ไงว่าคือเนื้ออะไร ตอนแรกก็สงสัยเลยถามครูไทย ครูบอก เฮ้ย! มันแดงๆนิ่มๆเพราะปรุงไม่สุกไง พวกเราเป็นเด็กดีก็เชื่อครูไง ก็กินๆไป แล้วอยู่ๆคนแก่ในร้านก็ถามพวกเราว่า รู้ป่าวววววว อันนี้เนื้อไร มันคือลิ้นวัวไงยูววววว ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ แต่ครูไทยก็ค่อยๆสำรวจเนื้อตัวเองแล้วถามว่าเนื้อมันดูเหี่ยวๆแปลกๆป่ะ พอเราพลิกเนื้อตัวเองดูเท่านั้นแหละ!! เชื่อทันที!! ปล.รูปนี้คือเนื้อเราเอง เป็นอันที่อุบาทที่สุด


วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ก่อนจะมาแลกเปลี่ยน

เกริ่นนำซักหน่อย
         
          สวัสดีค่ะ เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศเยอรมันของ yfu รุ่น 19 นะ (2016-2017) เราขอไม่บอกชื่อละกันเพื่อความเป็นส่วนตัว5555 เราเขียนบล้อกเพราะอยู่ที่นี่เราค่อนข้างมีเวลาว่างเยอะอยู่ ก็เลยอยากจะแบ่งปันประสบการณ์(ถึงจะเคยมีหลายคนมาแบ่งปันบ้างแล้ว) ซึ่งเราว่าการใช้ชีวิตที่นี่แตกต่างจากไทยมากกกกกกก

          โอเค สาเหตุที่เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน yfu นี่ จริงๆแล้วเพราะมีพี่ไปแลกเปลี่ยนที่ฮ่องกงมา แล้วพอพี่กลับมาเนี่ย พี่บอกว่าชีวิตแลกเปลี่ยนเป็นอะไรที่ดีมากกกกกก แบบ เป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิต ส่วนเรานี่อยู่ไทยเบื่อๆ แต่ละวันผ่านไปแบบไร้คุณค่า พอพี่กลับมาแล้วพูดแบบนั้น เราเลยจะไปสอบแลกเปลี่ยนบ้าง แต่พอเราจะสมัครสอบ afs ตามพี่ ปรากฏว่าอายุไม่ถึง! ก็เลยมาสอบ yfu แทน ส่วนสาเหตุที่มาเยอรมันนี่ พูดตรงๆเลยนะ สาเหตุหลักเพราะมันมีโควต้าเยอะ 555(ไม่น่าพูด) นั่นแหละ พอส่งใบสมัคร สอบข้อเขียน สอบทำงานกลุ่ม สอบสัมภาษณ์ เสร็จปั๊บ! ก็ถึงเวลารอ อยากบอกว่าตอนรอนี่ตื่นเต้นมากๆๆ คือตื่นเต้นอยู่นานสุดๆ แล้วพอประกาศผลนี่ แม่เป็นคนมาบอกว่าติดตัวจริงเยอรมันนะ ก็ดีใจกันไป จากนั้นเราก็จะมีไปฟังประชุมอะไรซักอย่างของคนที่ติดตัวจริงไม่ก็ตัวสำรอง แล้วก็ไปเรียนภาษาที่เกอเธ่(ควรเรียนก่อนไปนะ ไม่ก็เล่นduolingoก็ยังดี อย่าไปตายเอาดาบหน้า) แล้วก็มีค่ายที่ทาง yfu จะจัดทั้งหมด 2 ครั้ง ในค่ายนี่จะได้เจอเพื่อนใหม่เยอะมากกกกกกก ได้เพื่อนใหม่ที่จะไปประเทศเดียวกันก็มี ประเทศอื่นก็มี แถมทั้ง 2 ค่ายก็สนุกมาก ตอนกลางคืนเล่นไพ่กันมันส์มาก อย่าลืมเอาไพ่ไปเด็ดขาด555(ตอนค่าย 1 เพื่อนเราไม่มีใครเอาไพ่มาเลย เสียดายสุดๆ) ส่วนพวกของใช้นี่ไปซื้อใกล้ๆวันไป

        สิ่งที่ต้องทำก่อนไปนะ
1 เรียนภาษา อันนี้สำคัญมากเพราะบางคนจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้
2 ทำอาหาร หัดทำเมนูที่เครื่องปรุงหาในต่างประเทศได้ โฮสบางคนจะขอให้เราทำอาหารไทยให้กิน
3 เขียนเมลล์หาโฮส อันนี้ก็สำคัญนะ เพราะเราว่าถ้าได้คุยกันก่อนไปถึงจะได้สนิทกันมากขึ้น แต่ถ้าใครได้โฮสช้าก็  ช่วยไม่ได้นะเออ(ของเรานี่ได้5คนสุดท้าย คิดซะว่าได้โฮสดีดีกว่าได้โฮสเร็ว)
4 ซื้อมาม่ากับเครื่องปรุง อันนี้รู้กันอยู่แล้ว ที่จริงที่นี่ก็หาได้แหละ มันมีขายแต่แพง อ๋อ เอาพวกผงโลโบ้มาด้วยจะได้ใช้ทำอาหารให้โฮสกิน (โลโบ้แกงเขียวหวานเผ็ดมากแต่ก็อร่อยมากด้วย)
5 เสื้อผ้า ไม่ต้องเอาไปเยอะมาก ไปซื้อที่นู่นเอา
6 ของฝาก ผญที่นี่ชอบใส่ไอกางเกงเดินชายหาดที่ผ้ามันบางๆอ่ะ ที่มันพองๆหน่อย เอาพวกลายช้างไม่ก็อะไรก็ได้ที่ลายเยอะๆ555 ไม่ก็ซื้อถุงย่ามลายไทยๆก็ได้ ผชนี่เราเอากางเกงมวยมา แต่เห็นพี่ที่ค่ายบอกให้เอาเสื้อกล้ามคาราบาวไม่ก็รองเท้าช้างดาวอ่ะ

สำหรับคนที่กังวลเรื่องไปแลกเปลี่ยน/ไม่แน่ใจว่าไปดีมั้ย
        สิ่งที่เราอยากบอกก็คือ
• 1ปีที่เสียไป เราจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆกลับมา และเราคิดว่า ประสบการณ์ที่ได้มันมี ค่ามากกว่าจำนวนหนังสือที่เราจะอ่านได้ถ้าไม่ได้ไปแลกเปลี่ยน
• ถ้าใครกังวลจริงๆว่ากลับมาแล้วจะเรียนไม่ทัน เรามั่นใจว่าเราก็ต้องพยายามจริงๆ แบกเอาหนังสือเรียนจากไทยไปอ่านที่นู่นก็ได้ เพราะเราก็ทำเหมือนกัน
• ไม่งั้นก็ซ้ำชั้นเอา 
• ถ้ามาแลกเปลี่ยนแล้ว(ส่วนมาก)จะได้ภาษาใหม่ๆกลับไป บางทีอาจได้ภาษาที่ในไทยมีคนพูดได้ไม่ถึงร้อยคนก็ได้!!(มั้ง)
• มาแลกเปลี่ยนมันเหมือนมาเปิดโลกกว้าง ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ มันเหมือนอยู่กันคนละโลกเลย
• ถ้าสอบติดแล้วกำลังลังเลว่าไปดีมั้ย จำไว้ว่ามีคนอีกเยอะแยะที่อยากจะไปบ้าง มีโอกาสแล้วก็ลุยเลย!
• ถ้ากลัวก็อย่าไป เสียดายที่


สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่าเยอรมันอายุ 16 กินเบียร์ได้ ต่ำกว่านั้นก็กินเบียร์แบบไม่มีแอลกอฮอล์ 17 ขับรถได้แต่ต้องมีคนอายุ 18 นั่งไปด้วย และถ้าโหลดอะไรก็ตามที่ผิดลิขสิทธิ์ ตำรวจมีสิทธิ์ตามมาเจอถึงบ้านได้เลย เพราะงั้นก่อนไปจะโหลดอะไรก็รีบโหลด  แต่ถ้าดูเฉยๆ ไม่ได้โหลด........อันนี้ไม่มีใครรู้ 555

จบการเกริ่นนำ!!



Comments